
หนึ่งในปัญหาที่คนวัยทำงานต้องพบก็คือ ‘โรคจากการทำงาน’ ซึ่งอาจเกิดได้จากทั้งพฤติกรรมของตัวเอง เช่น กินกาแฟ สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ รวมไปถึงการกลั้นปัสสาวะอีกด้วย หรือสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน ก็ส่งผลเสียต่อผู้ปฏิบัติงานได้เช่นกัน วันนี้เราเลยจะพาคุณมารู้จักกับ โรคจากการทำงาน โรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนทำงาน และการป้องกันเพื่อไม่ให้เป็นโรคเหล่านี้ จะมีอะไรบ้างไปดูพร้อมๆกันได้เลยค่ะ
หัวข้อน่าสนใจเกี่ยวกับโรคจากการทำงาน
โรคจากการทำงาน (Occupational Disease) หรือ โรคจากการประกอบอาชีพ อย่างที่หลายๆคนเข้าใจก็คือโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพ โดยโรคจากการทำงานนั้นสามารถเกิดได้โดยอาศัยหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งจากตัวเราเองและสิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน โดยอาการเจ็บป่วยของแต่ละบุคคลนั้นล้วนแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ สุขภาพ และระยะเวลาการทำงานในแต่ละบุคคล
"รู้หรือไม่ว่าโรคจาการทำงานสามารถเกิดได้ทั้งในเวลาทำงาน หรือแม้แต่ตอนที่คุณกลับบ้านไปแล้ว แต่แน่นอนว่าสาเหตุหลักของการเกิดโรคนั้นมักมาจากการทำงาน"
สถานที่ทำงาน เช่น ผู้ทำงานอับอากาศ หรือในห้องทดลองที่อาจเสี่ยงสัมผัสถูกสารเคมี หรือแก๊สอันตราย (แก๊สอันตราย เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ ,ไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือไนโตรเจนไดออกไซด์)
อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
เพื่อนร่วมงาน (เป็นโรคแล้วส่งต่อเชื้อ)
ชุมชนหรือสถานที่โดยรอบที่ทำงาน
การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ![]()
พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก นอนน้อย ![]()
การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการสูบบุหรี่ หรืออาจรับควันบุหรี่มือสองมาจากเพื่อนร่วมงาน
นั่งทำงานเป็นเวลานานโดยที่ไม่ขยับตัว
การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน
การรับประทานอาหารโดยไม่เลือก หรือรับประทานมากจนเกินพอดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานจัด เค็มจัด หรือของทอดของมันอย่างพวกอาหารฟาสต์ฟูด
เชื่อว่ามีคนทำงานเป็นโรคภูมิแพ้เยอะมาก และอาจเป็นโรคนี้โดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งโรคภูมิแพ้นั้นก็จะมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็น ภูมิแพ้อาอากาศ ทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือตา ตัวอย่างของการเกิดภูมิแพ้จากการทำงาน เช่น
คนที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศ อาจรับภูมิแพ้ได้จากการสูดรับเอาสารโปรตีนเข้าไป เช่น รังแคของผู้อื่น การเหยีบบดิน ซากสัตว์ มูลสัตว์เล็ก แล้วพอเมื่อสิ่งนั้นเกิดการฟุ้งกระจายอาจสูดดมเข้าไปและเกิดเป็นภูมิแพ้ได้
คนเป็นโรคภูมิแพ้ ที่ทำงานในที่ๆมีฝุ่นเยอะ หรือสัมผัสถูกสารบางชนิดที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือพรม หรือผู้ที่ทำงานกับสัตว์
โรงงานไม้ โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ผู้ปฏิบัติงานอาจเกิดอาการแพ้จากไม้บางชนิด รวมไปถึงปัญหากลิ่นสารเคมีจากกาว ทินเนอร์ และสารเคมีอื่นๆที่ทำให้ระคายเคืองผิวและดวงตาได้
ผู้ที่ต้องสวมใส่ถุงมือในขณะทำงานก็มีความเสี่ยงเกิดภูมิแพ้ อาจมีอาการแพ้ถุงมือ แพ้ยางลาเท็กซ์ และเกิดผื่นและอาการคัน

วัณโรคเป็นกลุ่มโรคทางระบบทางเดินหายใจ ที่สามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วผ่านตัวกลางอย่างอากาศและสัมผัสถูกละอองสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลายของผู้ป่วยจากการไอ จาม หากเป็นวัณโรคนั้นย่อมส่งผลเสียต่อทั้งตัวผู้ปฏิบัติงานและองค์กร เพราะวัณโรคนั้นทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีทั้งอาการอ่อนเพลียรวมถึงมีไข้ ทำให้อาจทำงานไม่ไหว
"การรักษาวัณโรคยังต้องใช้เวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน ประมาณหกถึงเก้าเดือนในช่วงที่เป็นวัณโรคระยะติดต่อ แต่ในกรณีที่กินยารักษาแล้วตรวจไม่พบเชื้อของโรคก็ถือว่าปลอดภัยและพร้อมกลับมาทำงานได้"
หากใครที่หายจากวัณโรค แต่มีรอยโรคเกิดขึ้นที่บริเวณปอด ซึ่งเกิดได้ในรายที่มีอาการหนัก หรือมีลมรั่วในปอดจากถุงลมแตก มักจะมีอาการเหนื่อยง่ายซึ่งเกิดจากการที่ปอดเป็นพังผืด หากเป็นแล้วจะไม่สามารถทำงานหนักๆได้
พูดถึงโรคยอดฮิตของคนทำงานยังไงก็หนีไม่พ้นโรคกระเพาะ เพราะคนทำงานส่วนมากมักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทั้งในวันทำงานและที่น่าหนักใจที่สุดก็ช่วงวันหยุดเพราะหลายๆคนมักนอนตื่นสายกันในช่วงวันหยุด และส่งผลให้ข้าวเช้ากลายเป็นข้าวเที่ยง และอีกปัจจัยของโรคกระเพาะก็คือความเครียดนี่แหละ
"เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคกระเพาะควรหลีกเลี่ยงการกินข้าวไม่ตรงเวลาเพราะอาการอาจแย่ลงได้ ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้อาจส่งผลต่อประสืทธิภาพการทำงาน และก่ออุบัติเหตุได้"
ผู้ที่ปฏิบัติงานแบบเป็นกะนั้นถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โดยกลไกของร่างกายคนเรานั้นจำเป็นที่จะต้องทำการปรับเปลี่ยนการนอนหลับ หากเราต้องทำงานเป็นกะแน่นอนว่าเวลาการนอนย่อมต้องเปลี่ยนแปลงตามกะและเวลาของการทำงาน ซึ่งกว่าที่ร่างกายจะปรับตัวได้อาจใช้เวลานานถึง 1 สัปดาห์ การปรับเปลี่ยนเวลานี้จะส่งผลต่อร่างกาย ทำให้เรามีอาการอ่อนล้า พักผ่อนไม่เพียงพอ และส่งผลเสียต่อสมาธิ
"การพักผ่อนไม่เพียงพอนี่แหละเป็นตัวที่ก่อให้เกิดความเครียด และนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคหัวใจ" ![]()
เนื่องจากส่งผลทำให้หัวใจของเราเต้นแรงขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้น
โรคอ้วน โรคจากการทำงานพี่พบบ่อยในชาวออฟฟิศเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลานาน แถมบางคนกว่าจะเลิกงานและกลับถึงบ้านดึกก็เกิดอาการขี้เกียจ พอกินข้าว อาบน้ำเรียบร้อยก็พร้อมนอน และไม่ได้ออกกำลังกาย เมื่อเกิดพฤติกรรมเหล่านี้ซ้ำซากก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนทำงานบางคนถึงกลายเป็นโรคอ้วนนั่นเอง

แม้ว่าโรคอ้วนจะดูอันตรายน้อยกว่าโรคอื่นๆที่กล่าวมาก่อนหน้า เนื่องจากไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้คนเป็นโรคอ้วนทำงาน แต่โรคอ้วนนั้นก็ส่งผลเสียเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
สถานที่ปฏิบัติงานไม่เอื้ออำนวยต่อขนาดตัว เช่น ที่ทำงานเล็กหรือแคบเกินไป อาจเกิดอาการปวดเมื่อยในขณที่ทำงานได้ และลามไปสู่ออฟฟิศซินโดรม
ปัญหาในการเดินการขึ้นลงบันได
เสี่ยงเป็นโรคอื่นๆพ่วงด้วย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ข้อเข่าเสื่อม โรคไขมันในเลือดสูง และโรคมะเร็งบางชนิด
เสี่ยงโรคผิวหนัง เนื่องจากคนเป็นโรคอ้วนมักร้อนง่าย และเหงื่ออกง่าย
โรคนี้ถือว่าอันตรายเพราะผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการออกมา จึงมักถูกเรียกว่าภัยเงียบอยู่บ่อยๆ ซึ่งบางครั้งอาจตรวจพบโรคตอนที่มีอาการหนักมากแล้ว โดยโรคความดันโลหิตสูงจากการทำงาน มักมีบ่อเกิดมาจากความเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน อย่างการทำงานเป็นกะ ภาระงานที่หนักเกินไป การทำงานในที่เสียงดังๆ พฤติกรรมของผู้ป่วยเองก็มีส่วน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารเคมีบางตัวที่ก่อให้ความดันโลหิตสูงซึ่งก็คือพวกโลหะหนักๆ ได้แก่ เบอริลเลียม, ตะกั่ว และตัวทำละลาย
"โรคนี้มักพบในผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ใครที่อายุเริ่มขึ้นเลขสี่ต้องเริ่มระวังแล้ว หากใครที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงควรใครสักคนที่ทราบว่าเป็น เพื่อค่อยช่วยระวังและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเพิ่มเติมของโรค"
มีโรคอ้วนแล้วจะไม่มีเบาหวานได้ยังไง เพราะพฤติการของคนทำงานในยุคนี้นั้นใช้ชีวิตเหมือนกันอาศัยอยู่ในร้านกาแฟและของหวาน แถมยังมีพฤติกรรมกินติดหวานอีก ซึ่งยิ่งหากใครที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯด้วยแล้ว ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าร้านอาหารในกรุงเทพฯนั้นทำอาหารรสชาติติดหวาน แม้ว่าเราจะไม่ได้ชอบรับประทานอาหารหวานๆ ก็เสี่ยงเป็นเบาหวานหากรับประทานเข้าไปทุกวัน เนื่องจากบริเวณโดยรอบที่ทำงานมีร้านอาหารอยู่ไม่มากนัก
คนทำงานที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปควรระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะใครที่ พ่อแม่พี่น้องเป็นเบาหวาน ควรไปตรวจคัดกรองเบาหวานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร และทั้งนี้สถานที่ทำงานก็ควรจัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีพนักงานอยู่สม่ำเสมอ และพยายามควบคุมอาหารการจำหน่ายอาหารภายในองค์กร
โรคจากการทำงานสามารถป้องกันได้ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งตัวผู้ปฏิบัติงานเอง และองค์กรผู้ว่าจ้าง เพื่อช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม
การจัดอบรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้แก่พนักงาน
จัดสรรอุปกรณ์การทำงานให้ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
การจัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีพนักงาน ปีละ 1 ครั้ง ![]()
การให้พนักงานตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าทางผู้สมัครงานสามารถทำงานในตำแหน่งดังกล่าวได้จริง และยังช่วยป้องกันความเสี่ยงให้ผู้ร่วมงานคนอื่น หากผู้สมัครป่วยเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ ![]()
พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนที่ดีจะช่วยลดความเครียด อาการหงุดหงิด และทำให้มีสมาธิในการทำงาน ![]()
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างสมดุล เพราะการรับประทานอาหารที่มีปรโยชน์บางชนิดหากเลือกรับประทานแค่อย่างใดอย่างหนึ่งจนเกินพอดี อาจก่อผลเสียมากกว่าผลดี
หากทำได้ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคร้าย และหากใครที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วยิ่งควรหลีกเลี่ยง ![]()
ผู้ที่ทำงานมักมีความเครียดจากการทำงาน ควรไปพบจิตแพทย์บ้างเป็นครั้งคราว เพราะความเครียดนั้นก่อโรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง โรคอ้วน รวมไปถึงโรคซึมเศร้าที่เดี๋ยวนี้คนเป็นกันเยอะมาก และเป็นอีกสาเหตุหลักของการจบชีวิตตนเองด้วย ![]()
สังเกตุและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น พยายามอย่าอดอาหาร หรือหลีกเลี่ยงการกินอาหารไม่ตรงเวลา, ไม่กลั้นปัสสาวะ, กินอาหารโดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม ,กำหนดเวลานอนว่าไม่ควรนอนเกิน 3- 4 ทุ่ม หรือพยายามลุกมาขยับตัวบ้างระหว่างที่นั่งทำงาน โดยอาจลุกขึ้นยืนเมื่อทำงานทุกๆ 40 นาที เป็นต้น
ใครที่มีโรคประจำตัวหรืออาการป่วย ควรไปพบแพทย์ตามนัด และรับประทานอาหารและยาตามแพทย์สั่ง ![]()
ออกกำลังกายอย่างน้อย วันละประมาณ 30 นาที ![]()
บทความที่น่าสนใจ
เอกสารอ้างอิง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก
เรียบเรียงโดย อินทัชเมดิแคร์คลินิกเวชกรรม
แก้ไขล่าสุด : 13/02/2024