เชื้อราที่เล็บ หรือ โรคเชื้อราในเล็บ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยซึ่งส่งผลให้เล็บของคุณหนาขึ้น เปราะ และเปลี่ยนสี แม้ว่าเชื้อราที่เล็บอาจดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความไม่สบายและอาการรุนแรงขึ้น บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาเชื้อราที่เล็บอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถดูแลเล็บของคุณให้มีสุขภาพดีและแข็งแรงได้ตลอดเวลา
หัวข้อน่ารู้เกี่ยวกับเชื้อราที่เล็บ
เชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) คือ เชื้อราขนาดเล็ก ส่วนมากเป็นเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) โดยสามารถพบได้ถึง 50% ของผู้สูงอายุ และพบมากในผู้ป่วยเบาหวาน มักพบบ่อยที่บริเวณเล็บเท้ามากกว่าเล็บมือ
การที่เล็บติดเชื้อรา สามารถเกิดได้จากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมโดยตรงที่เชื้อราชอบอาศัย คือ บริเวณที่ มีความชื้นและมืด เช่น
การเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะ เช่น ริมสระว่ายน้ำ, ห้องอาบน้ำรวม หรือการใช้ถุงเท้ารวมกับคนอื่น
ตัวเชื้อรา Dermatophytes ขนาดเล็กนี้ จะเข้าไปในเล็บผ่านทางบาดแผลหรือ ร่องระหว่างเล็บ
เมื่อติดแล้วจะทำให้เล็บอ่อนลง เล็บเปราะและแตกได้ง่าย
ผู้ที่มีเชื้อราที่เล็บแล้วไม่รักษา อาจส่งผลให้เล็บผิดรูป, เล็บเปราะแตกง่าย, เล็บมีกลิ่นเหม็น และเล็บหลุดได้ หากเป็นมากอาจรู้สึกเจ็บได้
สามารถติดต่อกันได้ โดยติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรง กับ ผู้ป่วยที่มีเชื้อรา หรือ สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมโดยตรงที่เชื้อราชอบอาศัย คือ บริเวณที่ ชื้น และมืด
สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาชนิดทา เช่น ครีม, ขี้ผึ้ง หรือน้ำยาเคลือบเล็บป้องกันเชื้อรา
1. เทอร์บินาฟีน (Turbinafine) เป็นตัวยาที่นิยมใช้ มีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงน้อย
สำหรับเล็บมือ ระยะเวลาการใช้ยา 6 สัปดาห์
สำหรับเล็บเท้า ระยะเวลาการใช้ยา 12 สัปดาห์
2.ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี แต่อาจมีผลข้างเคียงของตัวยา เช่น ปวดท้อง หรือคลื่นไส้
3. ฟลูโคนาโซล (FLuconazole) มักใช้รักษาในกรณีเชื้อรารุกลาม อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดหัว หรือคลื่นไส้
ทั้งนี้แพทย์อาจพิจารณาถอดเล็บ ในผู้ป่วยบางรายขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง
อ่านเพิ่มเติม : ถอดเล็บ อย่างปลอดภัย ที่คลินิกใกล้ฉัน
บทสรุป
เชื้อราที่เล็บ เป็นเรื่องที่สามารถพบได้ทั่วไป และพบมากในคนสูงอายุและมีโรคร่วม สามารถสังเกตุอาการของเล็บติดเชื้อราได้เบื้องต้น เช่น เล็บเปลี่ยนสีเป็น ขาว เหลือง ดำ, เล็บหนาขึ้น, เล็บเปราะลง และเล็บมีกลิ่นเหม็น เป็นต้น หากพบอาการเหล่านี้ควรมาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี
ส่วนการรักษาจะเป็นการใช้ยา หรือบางกรณีแพทย์จะพิจารณาถอดเล็บ เราสามารถป้องกันได้โดยการงดใช้ของส่วนรวม, รักษาสุขภาพเล็บ, ดูแลเรื่องความชื้น ให้ดี เป็นต้น
บทความที่น่าสนใจ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Hot Line 081-562-7722 กดโทรออก
เรียบเรียงโดย นายแพทย์พันไมล์ เปรมัษเฐียร
แก้ไขล่าสุด : 19/08/2024
อนุญาติให้ใช้งานภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต เฉพาะในเชิงให้ความรู้ หรือเพื่อการศึกษาเท่านั้น โดยต้องให้เครดิตหรือแสดงแหล่งที่มาของ intouchmedicare.com